เรื่องที่จะเขียนตอนหลังจากนี้ ขอเขียนเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจตลอด 3 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาค่ะ
มันติดค้าง แต่ไม่ได้ทำให้เป็นความแค้นฝังหุ่นอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คิดว่า ถ้าได้ระบาย ได้เขียน หรือได้ผ่อนคลาย ผ่านโลกที่ (เสมือน) จริง ในพื้นที่พันทิปนี้ คงจะทำให้เราได้ปลดปล่อยเรื่องที่ติดค้างในหัวใจออกไปแล้วเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 23 ปีค่ะ เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน เรียนจบใช้เวลา 3 ปีครึ่งพอดีถ้วน เราเคยคิดว่าชีวิตมหาวิทยาลัยต้องเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราแน่ๆ ได้ไปเต้น ไปร้องรำทำเพลง ออกค่ายอาสา อะไรแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตมหาวิทยาลัยของเรา กลับเป็นเรื่องที่เราขยาดที่สุด ไม่อยากแม้แต่จะลืมตาตื่นไปเรียน (ในตอนนั้น) แต่ก็ด้วย เป็นลูกคนเดียวที่แม่เหลือตอนนี้ อะไรที่ทำให้แม่มีความสุขได้ ก็ต้องทำ
ขอตอบทีละเรื่อง ที่เพื่อนๆ สมัยเรียนสงสัยว่าทำไมเราทำแบบนั้น เราทำแบบนี้ มันมีเหตุผล ขอตอบเป็นประเด็นแบบนี้
ทำไมแม่ต้องไปนั่งเฝ้าที่หน้าป้อมยามทุกวัน
คือเรื่องนี้ จริงๆ เราก็ทราบค่ะ ว่าเป็นเรื่องที่ดูแปลกๆ หน่อย ในสายตาของใครๆ แต่ว่าเบื้องหลังของเราแม่ลูก มันมีมากกว่านั้น ขอเล่าให้เห็นว่าทำไมแม่ถึงต้องมาเฝ้าที่หน้าป้อมยามทุกวันนะคะ แม่บอกความจริงอย่างนึง หลังจากที่เราโตมา ก็คือ แม่เราแต่งงานกับพ่อ เพราะพ่อข่มขืนแม่เราตอนยังเด็ก หลังจากนั้นพ่อกับแม่ต้องแต่งงานกัน แม่ต้องทนอยู่กับพ่อที่ข่มขืนมาตลอดค่ะ ก่อนหน้านี้แม่มีลูกชายคนนึง อายุพอเดินได้ ก็เล่นอยู่หน้าบ้าน แม่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน แล้วพี่ชายของเราที่ยังเป็นเด็กก็เดินไปตามประสา แล้วก็ไปล้มคะมำใส่บ่อปลา กว่าแม่จะมาเห็น พี่ชายของเราก็นิ่งไปแล้ว หลังจากนั้นแม่เอาพี่ชายไปส่งโรงพยาบาล พบว่าพี่ชายสมองตายไปแล้ว แล้วเชื้อโรคก็เข้าไปในสมอง จนพี่ชายเป็นเจ้าชายนิทรา แล้วในที่สุด ก็เกิดภาวะช๊อค เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ก็เหมือนรู้สึกผิดมาตลอด ว่าลูกชายคนเดียวแต่ดูแลไม่ได้ แล้วแม่ก็มีเรา พอแม่ตั้งท้องได้ 4 เดือน พ่อไปขับรถส่งของ ก็เจออุบัติเหตุใหญ่ เสียชีวิตคาที่ ทำให้แม่ต้องเป็นแม่ม่ายที่ลูกก็ตายไปไม่นาน แล้วก็สามีมาตายตามไปอีก แม่เลยกลัวว่าถ้าปล่อยเราคลาดสายตาไปเราจะเป็นอะไรไปอีกคน เป็นเรื่องที่ฝังใจแม่มากๆค่ะ

น้าเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่พี่ชายนอนอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ไม่กินข้าว แก้มตอบ หน้าซีดเซียวไปหมด จนแม่มีเรามา แม่ก็ดูจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น และเราจำได้ว่าแม่ก็รักเรามาก มากจนไม่รู้ว่าจะหาความรักแบบนี้ได้ที่ไหนอีก แม่ไม่เคยปล่อยเราไว้ไกลสายตา แม่ทำงานทุกอย่าง ทั้งมัดไม้กวาด ทำขนม ถึงว่าจะไม่ได้มีเงินเหลือเฟืออะไรมาก แต่ว่าทั้งเรากับแม่ ก็ตั้งใจเก็บหอมรอมริบ ประหยัดกัน
ตอนประถมด้วยความที่โรงเรียนใกล้บ้าน แม่ก็เลือกที่จะขายขนมปัง ลูกชิ้นอยู่หน้าโรงเรียน แค่พอชะเง้อหน้ามองเราที่ห้องเรียนได้ พอกลับมาบ้าน แม่ก็จะสอนให้ทำงานบ้าน แต่ก็ยังไม่ยอมให้ทำคนเดียว แม่ก็ต้องยืนดู สอนให้ทำทุกอย่าง ให้ทำให้เป็น เหมือนที่แม่เป็น ไม่ใช่ว่าการที่ถูกเลี้ยงแบบประคบ ประหงมแล้วจะทำอะไรไม่เป็น
ตอนมัธยม เป็นช่วงที่เริ่มจับสังเกตได้แล้วว่าเราเริ่มมีความแปลกจากคนอื่น คือ เพื่อนๆ จะมีพ่อแม่มาส่งแค่หน้าปากซอยบ้าง หน้าโรงเรียนบ้าง แล้วก็กลับ แต่แม่ของเราไปสมัครเป็นพนักงานล้างจานที่ร้านขายข้าวในโรงเรียน ก็ด้วยเหตุผลเดิมค่ะ อยากพยายามเห็นเราอยู่ในสายตาให้มากที่สุด ตอนมัธยมเที่ยงๆ เราก็ไปช่วยแม่ล้างจานตอนเที่ยงด้วย แล้วพอเลิกเรียนก็รอแม่เก็บครัว แล้วกลับบ้านพร้อมกัน มีเพื่อนเคยถามว่าอายมั้ย ที่แม่มาทำงานที่โรงเรียนทุกวัน “แต่นี่ก็ไม่อาย เพราะมันอุ่นใจด้วยซ้ำ ที่มีแม่อยู่ใกล้ๆ
พอเราเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตที่คิด ที่หวังตอนเรียนมหาลัย มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะที่เรียนไกลจากบ้าน ทำให้ต้องตื่นเช้า และก็เช่นเดิม แม่ก็ออกจากงาน ตอนนี้แม่ไม่ได้ทำงานช่วง วันจันทร์ ถึง วันศุกร์แบบเป็นชิ้น เป็นอันค่ะ แต่ก็เหมือนเดิม คือแม่ไปมหาวิทยาลัยพร้อมกันกับเรา นั่งรอเราที่ป้อมยาม และกลับบ้านพร้อมกัน
***** ตรงนี้ที่คือจุดที่อยากจะบอกคือ ระยะทางระหว่างบ้าน กับมหาวิทยาลัย มันก็ไกล แม่เลยให้เราไปขอร้องรุ่นพี่ปี 2 ว่าจะขออนุญาตไม่เข้าคลาสเชียร์ทุกวัน แต่เขาบอกแม่ว่าจะให้เข้าเฉพาะวันพฤหัสวันเดียว เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ ด้วย
แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ วันพฤหัสแรกๆ ทุกอย่างก็ปกติ แต่ว่า หลังจากที่ขึ้นคลาสพบรุ่นพี่ ก็มีพี่ว้ากคนนึง พูดเหน็บเราในห้องเชียร์ทำนองว่า
“เด็กบางคน ก็ไม่รู้จักโต ยังต้องมีแม่มาคอยรับ คอยส่งอยู่ตลอด
กิจกรรมอะไรก็ไม่ค่อยมาร่วมกับเพื่อน ทำตัวแปลกแยก
ถ้าทำแบบนี้แปลว่าไม่เคารพรุ่นพี่ ไม่เอารุ่น ถ้างั้นพวกคุณก็ไม่ต้องเอารุ่นกันทั้งหมด”
ตอนนั้นมันน้ำตาตกใน ยังงง ว่าเรื่องการเข้าพบรุ่นพี่ มันทำให้ทุกคนต้องลำบากเพราะเราขนาดนี้เลย เป็นเพราะเราผิด หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
หลังจากนั้นเราพยายามที่จะเข้าไปคุยกับประธานรับน้องชั้นปีที่ 2 อธิบายเรื่องราวทั้งหมด และแม่ก็มาขอพบพี่ประธานด้วย เราอธิบายเหตุผลทั้งหมดที่ไม่ได้ขึ้นห้องเชียร์ทุกวันให้รุ่นพี่ทราบ แต่รุ่นพี่ก็ยังพยายามเอาเรื่องรุ่น เรื่องระบบ ระเบียบ วัฒนธรรมการรับน้องมาอ้าง เราขอรุ่นพี่อธิบายเหตุผลซ้ำๆ อยู่นาน จนหันหน้าไป เห็นแม่ยกมือไหว้ บอกประโยคสุดท้ายกับประธานรุ่นว่า “บ้านแม่กับน้องอยู่ลึก ถ้ารับน้องเสร็จ 6 โมงกว่า กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงบ้านในซอยลึก มันจะไม่มีรถ แม่ต้องเดินเข้าบ้าน แม่ขอร้องหล่ะหนู”
ตอนนั้นเป็นครั้งที่สองที่เรารู้สึกว่าแม่ไม่น่าจะต้องยกมือไหว้ ด้วยการอธิบายเหตุผลเท่านี้ แต่แม่ก็ทำลงไปแล้ว รุ่นพี่ที่อายุน้อยกว่าแม่หลายรอบ ก็ตอบแบบขอไปที ว่า “งั้นก็แล้วแต่นะครับคุณแม่ ถ้าไม่มีใครคบอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
อันนี้คือเหตุผล เรื่องราวจากการที่แม่มารอรับหน้ามหาวิทยาลัยทุกวัน และการไม่ขึ้นคลาสเชียร์พบรุ่นพี่ มันก็มีเหตุผลในตัวของมันแบบนี้
เราอยากขอโทษ แม้ว่าเรื่องมันจะผ่านไปแล้ว ในสายตาเพื่อนหลายๆ คนที่จับความรู้สึกได้ คงไม่ชอบพอเรามากๆ อยากขอโทษที่ตอนนั้นเราทำให้ทุกคนพลอยโดนว้ากไปด้วยค่ะ
อีกเรื่องก็คือเพื่อนสงสัยว่าทำไม เราถึงชอบทำงานกลุ่มคนเดียว เวลาอาจารย์ให้ทำงานกลุ่ม เราก็ชอบไปขอทำเดี่ยวเสมอๆ
คืออันนี้เรายอมรับค่ะ ว่ามันอาจจะทำให้เพื่อนบางกลุ่ม สมาชิกไม่ครบ จนหลังๆ ปี 3 เพื่อนหลายคนจับกลุ่มกันแล้วเหลือเราเป็นเศษในห้อง แต่ว่ามันมีเหตุผลในตัวของมันอยู่นะคะ ถ้าใครที่มาอ่านกระทู้นี้ คงจะรู้ว่าเราคือใคร
บางคนอาจจะมองว่าเราเรื่องมากในห้องนะคะ แต่เราคิดว่าเราจะทำตัวเป็นปัญหาหนักมาก ถ้าเราเป็นสมาชิกของกลุ่มแล้วเราไม่สามารถไปทำงานกลุ่มได้ แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนตอนปี 1 ด้วยค่ะ ที่เอาเราเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่ม แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทำ สุดท้ายตอนสอบเราก็ทำไม่ได้
เหตุผลที่เราเลือกที่จะทำงานกลุ่มคนเดียว และไปขออาจารย์ทำเดี่ยว มันก็มีเหตุผลที่อิงจากคำตอบแรกค่ะ บ้านเราอยู่ไกลมาก เวลาทำงานกลุ่ม หรืองานที่เลิกจากตอนเรียน เราใช้เวลาตรงนั้นได้ไม่มาก อันนี้เราต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆ ที่เข้าไปทำให้งานกลุ่มบางวิชาที่มันกลายเป็นเรื่องยาก เพราะสมาชิกน้อยลงค่ะ
****เราไม่อยากทำตัวเป็นปัญหานะคะ แต่ว่าเราไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเพื่อนค่ะ
เรื่องสุดท้ายตรงนี้คือเรื่องที่เราไม่รู้จะปรับปรุงตัวยังไง คือเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเราค่ะ ทั้งเรื่องฟัน สีผิว หน้าตา และคำพูด ที่พูดไม่ค่อยชัดของเราค่ะ
จริงๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องอึดอัดมาก เพราะมันเป็นเรื่องรูปลักษณ์ที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง หลายคนอาจจะสนุกปากกับการได้ล้อปมด้อยของเรา แต่เรารู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน ที่เราไม่ดีพอที่จะไปหยิบปมด้อยของคนอื่น มาล้อเล่นกันจนสนุกปาก ทุกคนที่ล้อเราจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนั้นเราตัวคนเดียว ไม่อาจหาญพอที่จะตอบโต้อะไรได้ ก็ดีเหมือนกัน ที่เราหลุดพ้นมาจากคำพูดที่ไม่เคยช่วยให้เราได้พัฒนาตัวเองเลย มีแต่ทำให้เราแย่ลง
เหตุการณ์ที่สะกิดปมในใจเราที่สุด คือความสนุกปาก ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเพื่อนก็คือตอนที่ไปเข้าค่ายแห่งนึงที่สมุทรสาคร ตอนนั้นเข้าค่ายกัน 3 วัน กลางคืนทำกิจกรรมเสร็จ เราต้องนุ่งกระโจมอกอาบน้ำกลางแจ้ง แล้วมีคนเห็นหลังเรา เสร็จแล้วเราก็เข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงคนคุยกันตรงที่อ่างล้างมือ เสียงมันลอดตรงช่องลมมาว่า
เขาพูดประมาณว่า “....มันฟันเหยิน หลังยังเป็นสิวเต็มเลย เห็นแล้วขนลุก”
ตอนนั้นเหมือนได้ยินเอาเต็มๆ เพราะจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีสิวที่หลังเยอะอยู่แล้ว ไม่มั่นใจตัวเองเรื่องนี้อยู่แล้วด้วย แล้วพอโดนล้อเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกอีก ยิ่งทำให้เราเฟลไปกันใหญ่ เป็นเหมือนกันหรือเปล่าคะ ที่เวลาได้ยินคนนินทาระยะประชิด มันใจสั่น ใจเต้น เราเคยได้ยินมาบ้าง แต่การได้ยินแบบนี้เหมือนเค้าตั้งใจพูดให้เราได้ยินแบบนี้มันไม่โอเคจริงๆ ตั้งแต่คืนแรก เราก็เลือกที่จะรอให้ทุกคนอาบน้ำเสร็จ และอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายตลอด เพราะไม่อยาก ให้ใครเห็นหลังเรา

หลังจากนั้นเราก็พยายามหาทุกอย่างที่ช่วยรักษาสิวที่หลังมาตลอด เพราะคิดว่ามันน่าจะแก้ได้ แต่เรื่องฟันที่เหยิน เราแก้ให้ไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าจะให้ไปจัดฟัน เงินเราก็ยังไม่พร้อม หลังจากที่ได้ยินคำบูลี่บ่อยๆเข้าก็เริ่มฟังยูทูบแบบพวกให้กำลังใจ ก็เริ่มปรับตัวเอง เริ่มจากสิ่งแรกที่อยากจะให้มันหายมากที่สุด เพราะมันคือปมที่ทำให้ได้ยินเสียงล้อลับหลัง ก็คือสิวที่หลัง ตอนนี้ก็ใช้ oxe cure สิวที่หลังก็ดีขึ้นมากๆ ส่วนเรื่องกลิ่นปาก ก็เริ่มที่จะใช้น้ำยาบ้วนปาก colgate หลังจากที่ชีวิตนี้รู้จักแต่แปรงสีฟัน ลดกลิ่นตัวก็ใช้โรลออน rexona ตามเซเว่นทั่วไป ก็รู้สึกว่าพอภายนอกเราดีขึ้นเราก็มั่นใจขึ้น บุคคลิกภาพก็ต้องปรับตัวเอง ให้ดีขึ้น เพราะอาจจะเป็นภาพลักษณ์เดียวที่คนเห็นแล้วเอ็นดูและเมตตาค่ะ
เรื่องที่อยากบอกไปถึงเพื่อนที่เคยบูลี่เราทั้งหมด เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
มันติดค้าง แต่ไม่ได้ทำให้เป็นความแค้นฝังหุ่นอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คิดว่า ถ้าได้ระบาย ได้เขียน หรือได้ผ่อนคลาย ผ่านโลกที่ (เสมือน) จริง ในพื้นที่พันทิปนี้ คงจะทำให้เราได้ปลดปล่อยเรื่องที่ติดค้างในหัวใจออกไปแล้วเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 23 ปีค่ะ เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน เรียนจบใช้เวลา 3 ปีครึ่งพอดีถ้วน เราเคยคิดว่าชีวิตมหาวิทยาลัยต้องเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราแน่ๆ ได้ไปเต้น ไปร้องรำทำเพลง ออกค่ายอาสา อะไรแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตมหาวิทยาลัยของเรา กลับเป็นเรื่องที่เราขยาดที่สุด ไม่อยากแม้แต่จะลืมตาตื่นไปเรียน (ในตอนนั้น) แต่ก็ด้วย เป็นลูกคนเดียวที่แม่เหลือตอนนี้ อะไรที่ทำให้แม่มีความสุขได้ ก็ต้องทำ
ขอตอบทีละเรื่อง ที่เพื่อนๆ สมัยเรียนสงสัยว่าทำไมเราทำแบบนั้น เราทำแบบนี้ มันมีเหตุผล ขอตอบเป็นประเด็นแบบนี้
ทำไมแม่ต้องไปนั่งเฝ้าที่หน้าป้อมยามทุกวัน
คือเรื่องนี้ จริงๆ เราก็ทราบค่ะ ว่าเป็นเรื่องที่ดูแปลกๆ หน่อย ในสายตาของใครๆ แต่ว่าเบื้องหลังของเราแม่ลูก มันมีมากกว่านั้น ขอเล่าให้เห็นว่าทำไมแม่ถึงต้องมาเฝ้าที่หน้าป้อมยามทุกวันนะคะ แม่บอกความจริงอย่างนึง หลังจากที่เราโตมา ก็คือ แม่เราแต่งงานกับพ่อ เพราะพ่อข่มขืนแม่เราตอนยังเด็ก หลังจากนั้นพ่อกับแม่ต้องแต่งงานกัน แม่ต้องทนอยู่กับพ่อที่ข่มขืนมาตลอดค่ะ ก่อนหน้านี้แม่มีลูกชายคนนึง อายุพอเดินได้ ก็เล่นอยู่หน้าบ้าน แม่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน แล้วพี่ชายของเราที่ยังเป็นเด็กก็เดินไปตามประสา แล้วก็ไปล้มคะมำใส่บ่อปลา กว่าแม่จะมาเห็น พี่ชายของเราก็นิ่งไปแล้ว หลังจากนั้นแม่เอาพี่ชายไปส่งโรงพยาบาล พบว่าพี่ชายสมองตายไปแล้ว แล้วเชื้อโรคก็เข้าไปในสมอง จนพี่ชายเป็นเจ้าชายนิทรา แล้วในที่สุด ก็เกิดภาวะช๊อค เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ก็เหมือนรู้สึกผิดมาตลอด ว่าลูกชายคนเดียวแต่ดูแลไม่ได้ แล้วแม่ก็มีเรา พอแม่ตั้งท้องได้ 4 เดือน พ่อไปขับรถส่งของ ก็เจออุบัติเหตุใหญ่ เสียชีวิตคาที่ ทำให้แม่ต้องเป็นแม่ม่ายที่ลูกก็ตายไปไม่นาน แล้วก็สามีมาตายตามไปอีก แม่เลยกลัวว่าถ้าปล่อยเราคลาดสายตาไปเราจะเป็นอะไรไปอีกคน เป็นเรื่องที่ฝังใจแม่มากๆค่ะ